[จิตวิทยาการลงทุน] Part 11 : การเทรดสอนอะไรให้ชีวิตประจำวัน
การเทรดเปรียบเสมือนการเร่งเวลาของชีวิตคนภายในเวลาหลักนาที การเทรดจะรวมความท้าทายที่มนุษย์ต้องเจอตลอดชีวิต มาทดสอบ ตั้งแต่ความจำเป็นที่ต้องตัดสินสิ่งต่างๆ วางแผน และการประเมินคุณค่าของสิ่งต่างๆ ภายใต้สภาวะที่มีความเสี่ยง และความไม่แน่นอน ในการฝึกฝนการเทรด เราจำเป็นที่จะต้องเผชิญหน้ากับตัวเอง และเอาชนะตัวเอง ในชีวิตจริงเองก็มีเรื่องราวที่ ได้รางวัลเมื่อเราพัฒนาตัวเองสำเร็จ และมีบทลงโทษเมื่อขาดการพัฒนาตนเองอยู่ตลอด
มีบทเรียนชีวิตมากมายที่เราสามารถสะท้อนออกมาจากการเทรด เช่น
1. ต้องมีการวาง Stop-Loss ในทุกกิจกรรม ไม่ว่าจะเป็นการงาน, ความสัมพันธ์ และเรื่องส่วนบุคคล คนที่ประสบความสำเร็จ จะรู้จักตัดเรื่องที่กำลังล้มเหลวทิ้งไป และทำต่อในเรื่องที่กำลังสำเร็จไปได้ด้วยดี
2. การใช้ความหลากหลายเป็นเรื่องที่มักจะได้ผล ทั้งในเรื่องของชีวิต และการเทรด การบริหารความเสี่ยง โดยการใช้ทรัพยากรจากหลายๆ แหล่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เป็นวิธีที่ดี ไม่ว่าจะใช้กับแง่มุมใดของชีวิต
3. ไม่ว่าจะเป็นในชีวิต หรือในตลาด, การเปลี่ยนแปลงจะสร้างประโยชน์ให้กับผู้ที่เตรียมตัวล่วงหน้าอย่างดี การไม่วางแผน เท่ากับกำลังวางแผนสู่ความล้มเหลวนั่นเอง
4. การประสบความสำเร็จในการเทรด และชีวิต มาจากการรู้ข้อได้เปรียบของตัวเอง, เมื่อโอกาสมาถึง ต้องผลักดันความได้เปรียบนั้นออกมา และใช้ให้เต็มที่, และเมื่อความได้เปรียบนั้นหมดไป ก็ให้นั่งรอเฉยๆ ต่อไป
5. Risk (ความเสี่ยง) และ Reward (ผลตอบแทน) นั้น มาคู่กันเสมอ, ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคน หรือในตลาด, การจะได้ผลตอบแทนที่ดีมา ต้องมีการบริหารความเสี่ยง อย่างพิถีพิถันก่อนเสมอ
6. ความสุข คือกำไรที่เราเก็บเกี่ยวจากชีวิตของเรา, กิจกรรมทุกอย่างในชีวิต ควรจะมีการทบทวนเป็นระยะๆ ว่า ผลตอบแทนที่ได้มาจากการลงทุนในเรื่องนั้น คุ้มค่าหรือไม่, เทียบกับการลงแรง ลงเวลากับเรื่องใดๆ นั้น ให้ความสุขเราได้มากน้อยเพียงใด
7. จงอ้าแขนยอมรับการเปลี่ยนแปลง, เพราะแม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำมาซึ่งความอันตราย แต่ก็จะมาพร้อมกับโอกาสด้วยเสมอ
8. ทุกแนวโน้ม และวัฎจักรจะมีที่สิ้นสุดเสมอ, ใครที่มีการประเมินอนาคตล่วงหน้าได้ดี จะได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้
9. ไม่ว่าจะเป็นในการเทรด หรือในชีวิต, การตัดสินใจที่เลวร้ายที่สุดจะมาจากอย่างใดอย่างหนึ่งระหว่างเชื่อมั่นมากเกินไป หรือขาดซึ่งความเชื่อมั่น
10. สูตรสำเร็จทั้งในวงการเงิน และชีวิต คืออย่าถือการลงทุนใดๆ ถ้าให้คุณซื้อใหม่ตอนนี้ คุณไม่อยากซื้อ
(Note ผู้แปล : นี่เป็นบทเรียนที่ผู้แต่งได้ให้ข้อคิดไว้กับ Trader Feed Site, หากนำข้อคิดเหล่านี้มาทบทวนดีๆ จะเห็นได้ว่าหลักการหลายๆ อย่างเป็นเรื่องที่ค่อนข้างชัดเจน แต่เราอาจจะลืมคิดไป และเมื่อถึงเวลาก็ถูกอารมณ์ครอบงำ จนไม่สามารถปฏิบัติได้อย่างถูกต้องอย่างที่ควรจะทำ, เหมือนกับตอนเทรดซึ่งขาดวินัยเพราะ ถูกอารมณ์ครอบงำ, ฉะนั้นในชีวิต ก็ต้องมีสติ และวินัย ที่จะทำในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่า ไปกระทำตามสิ่งเร้าที่เข้ามายั่วยวนให้ดี)
#เทรด #forex #สอนforx #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 12 : การฟื้นฟูการเทรดของคุณจาก “แย่” ให้เป็น “เยี่ยม”
หมายเหตุ: บทความนี้เคยถูกเผยแพร่ไว้ที่ Trading Market Site
ช่วงปลายปีของ 2-3 ปีที่ผ่านมา ผม Dr. Brett, ได้สังเกตเห็นบางอย่างที่น่าสนใจ เกี่ยวกับหนังสือจิตวิทยาการเทรดของผม นั่นก็คือยอดขายของ Amazon ได้กระโดดขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ ก่อนที่จะค่อยๆ ตกลงมา, สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับ Amazon, เมื่อไม่นานมานี้ ยอดขายของแอมะซอนมีปริมาณการขายเพิ่มขึ้นมากกว่าที่ผ่านมา ดังนั้นยอดขายรวมที่เพิ่มขึ้น จึงช่วยให้ยอดขายของหนังสือผมเพิ่มขึ้นด้วย แต่การกระโดดขึ้นของยอดขายหนังสือของผม มีรูปแบบที่พบว่ามีปริมาณการซื้อหนังสือมากในวันหยุด, เนื่องจากหนังสือของผมต่างก็ไม่ได้มีรสชาดดีเหมือนเค้กผลไม้ และก็ไม่สนุกที่จะเปิดเหมือนกระเช้าของขวัญ ผมจึงต้องทึกทักว่ามีแรงจูงใจอื่นๆ ที่มาทำให้ซื้อหนังสือช่วงปลายปีเหล่านี้
การคาดการณ์ที่ดีที่สุดของผม คือลูกค้ามีความกังวล, เหมือนกับผู้ค้าหลายคนที่ส่งอีเมล์มาให้ผม คือปีนี้พวกเขาประสบกับปีที่แย่ในการเทรด และอยากจะให้ปีหน้านั้นเป็นการเริ่มต้นที่ดีกว่า พวกเขามองว่าการให้ความสนใจกับจิตวิทยาของพวกเขาเป็นทางเลือกหนึ่งของการทำการปรับปรุงแก้ไข พวกเขาจึงคิดที่จะเริ่มต้นจากการหาความรู้โดยการอ่านหนังสือกัน
การแก้ปัญหาไม่ได้จบที่แค่การคิดจะแก้ปัญหาเค่นั้น, เราจะต้องจริงใจในการแก้ปัญหา ตั้งแต่หาสาเหตุของปัญหา วางแผนแก้ปัญหา มีระยะเวลากำหนดที่ชัดเจน และการติดตามว่าทำได้, ทำไม่ได้ หรือไม่ได้ทำด้วย
จุดมุ่งหมายของผมในการเขียนบทความจิตวิทยาการเทรด ก็เพื่อที่จะช่วยผู้อ่านทำการแก้ไขการเทรด และทำให้มีไฟในการแก้ไขปัญหาการเทรด สำหรับปีใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมกำลังจะลงมือทำจริงกับกลุ่มผู้ค้ามืออาชีพในเมืองชิคาโก และผมจะได้รับเกียรติในการเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟูการเทรดของพวกเขา และหวังว่าจะช่วยเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นของคุณด้วยเช่นกัน
(Note ผู้แปล : ผม, Rojer cmFX, เลือกจะแปลบทความนี้ในช่วงเวลานี้ เพราะ 2 เหตุผล. 1.มันเข้ากันได้ดีกับช่วงปีใหม่ ที่ผู้คนคิดจะสรรหาสิ่งใหม่ๆ ที่ดี และแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในปีที่แล้ว, ถ้าคุณพบว่าคุณไม่สามารถคุมวินัยในการเทรดของตัวเองได้แล้ว ปีใหม่นี้ก็จะเป็นจังหวะที่ดีในการ ฟื้นฟูการเทรดโดยการคุมวินัย และจิตวิทยาการเทรดของคุณ 2.ดังจะเห็นได้ว่า นับวันผู้คนก็ยิ่งให้ความสำคัญกับจิตวิทยาการเทรดมากขึ้น ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ตัวผมเองคิดว่าสำคัญมากๆ และเป็นองค์ประกอบที่สำคัญมากในการตัดสินผลการเทรดของเรา, ปีใหม่นี้หวังว่าทุกสิ่งจะสมความปรารถนา และการเทรดของทุกคนจะดียิ่งๆ ขึ้นไป ^_^)
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[Psycho] Part 13 : ความรู้สึกของการควบคุม
Image Credit : http://variety.thaiza.com
ผู้ค้าบางคนเข้ามาหาผมด้วยความโกรธ และหัวเสีย บางคนอยู่ในอาการหดหู่ กังวล หรือสับสน สิ่งที่พวกเขาเผชิญร่วมกัน คือความรู้สึกของการสูญเสียการควบคุมอันเนื่องมาจากการค้าของพวกเขา เราลองมาคิดดูในแง่ที่ว่า ถ้าคนบางคนรู้สึกว่าตัวเองมีอำนาจในการควบคุมบางสิ่งบางอย่างในชีวิต พวกเขาก็จะไม่มีทางรู้สึกหดหู่ หรือกังวลกับสิ่งใดเลย ถ้าผมมีการควบคุมสุขภาพร่างกายที่ถูกต้องตามสุขลักษณะอยู่เสมอ ผมก็จะไม่พบกับความเจ็บป่วย หรือโรคภัยใดๆ ถ้าผมมีอำนาจในการควบคุมงบประมาณครอบครัว ค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดก็จะไม่มีวันเกิดขึ้น สิ่งที่เปลี่ยนความเครียด เป็นความเจ็บปวด คือการรับรู้ว่าเราไม่สามารถควบคุมบางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญต่อสภาพความเป็นอยู่ที่ดีได้ ถ้าผมไม่สามารถมีอำนาจควบคุมชีวิตการแต่งงาน สุขภาพ หรืออาชีพของผมแล้ว ผลลัพธ์อย่างแรก คือผมจะรู้สึกลำบากใจกับความสงสัย และความไม่แน่นอน ถ้าผมยังขาดการควบคุมสิ่งสำคัญอื่นๆ ในชีวิตอีก ความกังวลก็จะกลายเป็นความหดหู่ ความคิดที่ว่า “ผมไม่คิดว่าผมจะสามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้” จะกลายเป็น “ผมรู้ดีว่าผมไม่สามารถรับมือกับสิ่งนี้ได้”
เป้าหมายอย่างแรก คือความสามารถในการควบคุม สิ่งนี้จะไม่สามารถเกิดขึ้นได้พร้อมกันทันทีกับทุกๆ ด้านของชีวิต แต่คุณจะสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ดีขึ้นเมื่อคุณมองโลกในแง่ดี และมีความกระตือรือร้น นักจิตวิทยานามว่า Martin Seligmanกล่าวว่า ความหดหู่มาจากการเรียนรู้ภาวะของความสิ้นหวังซึ่งเป็นภาวะที่ไร้อำนาจ ตามปกติการใช้อำนาจส่วนบุคคลจะขจัดความรู้สึกสิ้นหวังนี้ไปได้เอง
กลยุทธ์ตามลำดับขั้นเพื่อให้มีอำนาจในการควบคุม เป็นความมุ่งมานะระยะยาว ผู้คนหลายคนที่จุดไฟจุดพลุกันช่วงปีใหม่ โดยหวังว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นในปีหน้าอาจจะควบคุมเป้าหมายใหญ่ๆ เพียงเพื่อที่จะพบว่าตนเองรู้สึกหัวเสีย เพราะไม่สามารถทำสิ่งนั้นให้สำเร็จได้ในเร็ววัน ดังนั้นจึงเป็นดีกว่าที่จะกำหนดเป้าหมายให้เล็กลง และเป็นเป้าหมายที่สามารถบรรลุผลสำเร็จได้ง่ายๆ ที่คุณสามารถสร้างวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ให้เกิดขึ้นได้ ซึ่งอาจใช้เวลาเป็นเดือน หรือเป็นปีเพื่อรับรู้ถึงเป้าหมายดังกล่าว ความพยายามที่จะควบคุมการแสดงออกถึงความมุ่งมานะในการต่อสู้ คือความพยายามที่จะไม่ให้เหตุการณ์ต่างๆ ครอบงำคุณ แม้ว่าความพยายามจะไม่ส่งผลให้เกิดความสำเร็จ ซึ่งโดยปกติมันมักเป็นเช่นนั้น แต่ถือได้ว่าสิ่งนี้ คือกุญแจดอกหนึ่งที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิตที่ยิ่งใหญ่กว่า
ตัวอย่างหนึ่งจาก Lance Armstrong ในหนังสือชื่อ It’s Not About the Bike เขาได้อธิบายรายละเอียดว่า เขาเป็นโรคมะเร็งลูกอัณฑะซึ่งเกิดจากอาชีพนักขี่จักรยานของเขา ข่าวร้าย คือเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และมะเร็งได้แพร่กระจายไปยังสองของเขา แม้ว่านักจิตวิทยาที่มองโลกในแง่ดียังสรุปว่า อาการของเขาแย่มากๆ และหลายคนบอกว่าอาชีพของเขาจะต้องจบลง เนื่องจากการบำบัดด้วยสารเคมีจะไปทำลายปอดของเขานั่นเอง
ในช่วงแรก Armstrong ควบคุมชีวิตของเขาด้วยการเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับโรคนี้ เขากลายเป็นคนไข้ที่ให้ความร่วมมือในกระบวนการบำบัดได้เป็นอย่างดี ไม่ใช่เป็นคนไข้ที่ทำตามที่หมอสั่งโดยไม่มีความรู้ใดๆ ความรู้ที่เขาได้รับช่วยให้เขารวบรวมทีมผู้เชี่ยวชาญ เพื่อคอยช่วยเหลือในระหว่างการรักษาของเขา โดยรวมไปถึงนักฟิสิกส์ที่มีชื่อเสียงที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เมื่อเขามีตัวเลือกสำหรับผู้ที่จะมาให้การบำบัดรักษา เขาเลือกนักฟิสิกส์ที่เข้าใจความรักในการขี่จักรยานของคนไข้และค้นหาการ บำบัดด้วยสารเคมีที่จะไม่ทำลายปอดของเขา ระหว่างดำเนินกระบวนการทางเคมี เขาปฏิเสธที่จะนั่งรถเข็นสำหรับผู้ป่วย แต่เขาเลือกที่จะเดินด้วยตัวของเขาเอง เมื่อพยายามให้ยาสำหรับปอดเพื่อทดสอบความจุปอด เขาจะเป่าด้วยความโกรธ และบอกพยาบาลว่าไม่ต้องให้ยานี้อีก เขาไม่ได้ยอมแพ้ความมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ต่อโรคนี้ ด้วยการเริ่มจากควบคุมสิ่งเล็กๆ ไปยังสิ่งที่ใหญ่กว่า
การหาทางควบคุม
ถ้ามี “มะเร็ง” หรือปัญหาในชีวิต หรือการค้าขายของคุณ สิ่งนี้อาจจะยากพอๆ กับกรณีโรคร้ายของ Lance แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ต่างกันก็ตาม เพราะปัญหาไม่ได้สิ่งจะหมดไปข้ามคืน และอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงชีวิตด้วย อย่างไรก็ตาม การควบคุมของคุณมาจากการปฏิเสธที่จะให้โชคชะตากำหนดตัวคุณ คุณสามารถเรียนรู้ทุกอย่างที่เป็นไปได้สำหรับอุปสรรคในการค้าของคุณในแบบเดียวกันกับ Lance ที่ได้เปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องมะเร็ง
ดังนั้นคุณต้องเป็นตัวกระทำที่กระตือรือร้นในการพลิกฟื้นตัวคุณเอง ซึ่งการทบทวนผลลัพธ์ทางการค้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนของคุณจะทำให้คุณทราบว่า คุณได้เงินมาจากส่วนไหน และเสียเงินไปกับส่วนไหน โดยสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการทำเช่นนี้จะทำให้คุณรู้จุดแข็ง และจุดอ่อนของตนเอง บ่อยครั้งที่คุณจะพบว่าการกลับไปตรวจสอบสิ่งต่างๆ จะทำให้คุณทราบถึงความแตกต่างยามที่การค้ารุ่ง และตกต่ำ เมื่อเป็นเช่นนั้นคุณต้องเน้นความสนใจไปยังจุดบกพร่องของช่วงเวลาที่การค้า ไม่ราบรื่น หรือมีปัญหา เพราะนั่นจะทำให้ตระหนักว่าคุณจะต้องแก้ไขปัญหาตรงจุดไหน และคุณจะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร มากไปกว่านั้นคุณยังต้องให้ความสนใจกับช่วงเวลาที่การค้าเจริญรุ่งเรืองอีกด้วย เพื่อค้นหาคำตอบว่าคุณเอาชนะคู่แข่งทางการค้าได้อย่างไร สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างช่วงเวลาเหล่านี้ อะไรคือสิ่งที่คุณคิดต่างกัน และคุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้ซ้ำต่อไปได้หรือไม่
เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ค้าคนหนึ่งที่ผมทำงานด้วยรู้สึกท้อแท้กับการค้าของเขา เขารู้สึกว่าเขามีปัญหาทางการค้ามากมาย และเขาจำเป็นต้องไปทำมาหากินอย่างอื่นแทนอาชีพนี้ เมื่อพวกเราตรวจสอบประวัติการค้าขายของเขาแล้วพบว่า เขาได้ทำการค้าโดยยึดถือรูปแบบเดียวมาตลอด อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะสูญเสียเงินไปกับวันที่ไร้ทิศทาง หรือไม่มีแนวโน้มแน่นอน อันเป็นวันที่เขาเริ่มต้นได้แย่ตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว นอกจากนี้ เขายังได้เพิ่มขนาดไปเรื่อยๆ จนถึงตอนกลางวันและต้องเผชิญกับโอกาสอันน้อยนิด ซึ่งผลลัพธ์ก็คือการขาดทุนและ ความสูญเสียมากมาย กลยุทธ์เริ่มต้นที่พวกเราเสนอเกี่ยวกับการควบคุมนั้นง่ายมาก นั่นคือการแบ่งการค้าในช่วงเช้า และช่วงกลางวันให้แยกส่วนออกจากกัน และกำหนดความสูญเสียสูงสุดที่รับได้ในแต่ละส่วนไว้ ซึ่งระดับดังกล่าวนี้ถือว่าเป็นส่วนที่ค่อนข้างมากพอที่จะช่วยให้เขาทำการค้าได้ตามปกติ แต่อาจจะไม่เพียงพอที่จะช่วยป้องกันเขาจากการพลิกฟื้นจากการเริ่มต้นวันที่แย่ได้ ท้ายที่สุด เราได้สร้างกฎเกณฑ์ว่า ขนาดตำแหน่งเริ่มต้นของเขาไม่ควรเพิ่มสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสูงสุดหากเขาไม่มีความพร้อมเรื่องเงิน กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือเขาสามารถใช้ปริมาณสูงสุดได้ต่อเมื่อเขาค้าขายได้ดีเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่ช่วงเวลาที่เขาอยู่ในอารมณ์ที่ต้องการเอาคืน หรือแก้แค้น นอกจากนี้ ผมยังได้ช่วยเขาตรวจสอบกฎเกณฑ์ต่างๆ อีกด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขาเริ่มมีพฤติกรรมทางการค้าที่ดีขึ้น ไม่ต้องพบเจอกับวันที่ขาดทุนมหาศาลอีก และได้เห็นผลลัพธ์ของตัวเองในบรรทัดสุดท้าย ซึ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกมั่นใจ และความสามารถในการควบคุมมากขึ้นด้วย
ตัวอย่างข้างต้นนี้ ถือเป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาสักเท่าไรสำหรับผู้ค้าที่ดีที่อยู่ในช่วงตกต่ำ ซึ่งสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นปัญหาอันท่วมท้น นั่นก็คือรูปแบบการค้าขายแบบเดียวกันที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป และในช่วงเวลาที่ต่างกัน ถ้ารูปแบบนี้เปลี่ยนแปลง เราก็จะพบกับการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจด้วย เนื่องจากรูปแบบการค้าเช่นนี้ถือเป็นปัญหาในการค้าขาย หาใช่ความสามารถพื้นฐานในการทำการค้าไม่ ดังนั้น ขั้นตอนแรกในการบรรลุการควบคุม คือการสร้างรูปแบบใหม่ โดยเรียนรู้ทุกอย่างที่คุณสามารถทำได้เพื่อแก้ไขปัญหาเพื่อที่คุณจะได้หาวิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง และได้พบกับคนที่เหมาะสมที่พร้อมจะช่วยเหลือคุณ ขั้นตอนแรกนั้นไม่มีอะไรมากกว่าไปการหยุดทำในสิ่งที่ไม่สามารถก่อให้เกิดผลสำเร็จ และหันกลับไปให้ความสนใจกับสิ่งที่คุณสามารถทำได้ดี สิ่งนี้จะทำให้กระบวนการดำเนินการได้ดีขึ้นในแง่ของจิตวิทยา เนื่องจากเมื่อผู้ค้าเริ่มพลิกฟื้นตัวเอง และสามารถควบคุมสิ่งต่างๆ ได้ ก็จะตระหนักรู้ได้ว่า “ปัญหานั้นคือรูปแบบของผม (การซื้อขายมากเกินไป) ผมก็จะบอกตัวเองว่า ผมนี่แหละคือปัญหา”
ลองแยกตัวคุณออกจากปัญหาของคุณก่อนในขั้นแรก เพื่อก้าวสู่การมีอำนาจควบคุม โดยในบทความถัดไปนี้ เราจะมาพูดคุยถึงขั้นตอนต่อไปกันครับ
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 14 : ปรัชญา 3 ข้อในการเทรด
Image Credit : www.rsunews.net
บทความนี้เคยถูกเผยแพร่ใน TraderFeed
ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ผม Dr. Brett โชคดีมากที่มีโอกาสได้รับคำแนะนำ และได้รับองค์ความรู้ ความคิดดีๆ หลายอย่างเกี่ยวกับการซื้อขายหลักทรัพย์จากผู้เชี่ยวชาญที่คร่ำหวอดในวงการตลาดหลักทรัพย์หลายท่าน ซึ่งได้ให้หลักสำคัญ 3 ข้อ ที่ทำให้สามารถทำกำไรจากตลาดได้ทั้งสามทาง (upmarket, downmarket, และ side-way market)
ข้อแรก - มุ่งแสวงหาผลกำไรในแต่ละสัปดาห์การเทรดแต่ละครั้งอาจจะขาดทุนบ้าง แต่ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรใส่ใจนัก เพราะบางครั้งมันยังมีโอกาสไม่มากที่จะ มีโอกาสสามารถสร้างผลกำไรได้ในแต่ละวัน แต่นักลงทุนอาวุโสท่านหนึ่งบอกกับผมว่า สำหรับนักลงทุนที่มีความกระตือรือร้นแล้วนั้น ในสัปดาห์หนึ่งๆ มันยังคงจะมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามามากพอที่เราจะใช้เป็นเป้าหมายในการแสวงหากำไรตอบแทนได้อยู่ดีนั่นแหละ แม้ว่าคุณจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ในทุกๆ สัปดาห์ แต่การวางเป้าหมายเอาไว้นั้นช่วยให้คุณยังคงมุ่งมั่นที่จะทำตามแผนที่วางได้ต่อไป
ตัวอย่างเช่น คุณไม่อยากสูญเสียเงินจำนวนมากไปในวันหนึ่งๆ ขณะที่คุณเองก็ไม่สามารถสร้างผลตอบแทนกลับคืนมาได้ในวันอื่นๆ คุณคงไม่อยากเสียเงินไปกับการซื้อขายหุ้นที่คุณไม่สามารถแสวงหากำไรจากมัน ได้แล้วในวันนั้น แล้วคุณก็จะไม่ยอมให้แต่ละวันมันผ่านพ้นไปง่ายๆ เพราะคุณจะพยายามสร้างกำไรให้ได้ในทุกๆ สัปดาห์ และเริ่มจัดการกับการเทรดแต่ละครั้งอย่างรอบคอบขึ้น เพื่อให้แน่ใจว่าคุณสามารถควบคุมความเสียหายครั้งใหญ่ที่สุดที่อาจเกิดขึ้น โดยจะไม่ให้มันบานปลายเกินไปกว่าผลตอบแทนสูงสุดที่คุณคิดหรือกำหนดไว้ เวลาทำให้ผมเห็นสัญญาณของความก้าวหน้าที่จะเกิดกับเหล่านักลงทุนและเก็งกำไร พวกนั้น เพราะพวกเขารู้จักระมัดระวังและเลิกขุดหลุมฝังตัวเองเสียแล้ว
ข้อสอง - น้อมรับสิ่งที่ตลาดหุ้นให้กับคุณ
วันนี้ผมปิด short position ไปได้ หลังจากที่ต้องนั่งเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นแต่ละช่วงอย่างไม่คลาดสายตาในตอนบ่าย ผมรู้แล้วว่าการซื้อขายหุ้นที่ดุเดือด และเข้มข้นแบบนี้ก็ตอนก่อนที่พวกนักลงทุนจะแห่กันกลับเข้ามาซื้อหุ้นที่ถูกเปิดชอร์ทขายไปนี่แหละ ก่อนหน้านี้ตอนที่ผมทำอยู่ที่ S&P ผมไม่ได้รับผลกำไรมากเท่ากับที่ผมได้จากตลาดหุ้น Nasdaq และ Russell แต่ตลาดหุ้นพวกนี้ไม่ได้สนหรอกนะว่าคุณจะได้กำไรซักแค่ไหน ผมนั้นเอาสิ่งที่ผมได้จากตลาดหุ้นเหล่านี้ มาเริ่มสร้างให้เกิดเป็นผลกำไรที่งอกงามขึ้น ถามว่าราคาหุ้นจะตกลงอีกหรือไม่หลังจากผมออกไปแล้ว? คือมันตกลงได้อีกแน่นอน ก็อย่างที่นักลงทุนท่านหนึ่งบอกผมไว้ ในทันทีที่ตลาดหุ้นให้ผลกำไรตอบแทนแก่คุณ คุณอาจจะอยากถอยทัพกลับ หรือไม่อีกทางก็มุ่งทำแสวงหาผลกำไรต่อไปหากว่าคุณคิดถึงผลตอบแทนระยะยาวกว่านี้ แต่การที่คุณจะไปต่อ คุณก็อาจจะต้องล้มเหลวได้เช่นกัน นั่นหมายความว่า คุณซึ่งเคยได้กำไรมาก่อน ต้องมาล้มเหลว คุณพ่ายแพ้ถึงสองต่อเลยนะ
ข้อสาม - หมั่นใช้ตัวช่วยเพื่อแก้ไขสถานการณ์
ผู้ค้ากำไรจะสังเกตว่าการขายหุ้นต่างๆ นั้น มันดุเด็ดเผ็ดมันไม่หยุดยั้งได้ก็ต่อเมื่อพวกเขาได้มองเห็นผลตอบแทนก้อนใหญ่จากสมุดทะเบียนรอการซื้อขายหลักทรัพย์ คนเหล่านี้จะใช้ข้อมูลตัวช่วยที่พวกเขามีเป็นช่องทาง หรือโอกาสอันดีในการขายหุ้นในตลาด หากตัวหลักทรัพย์เอง หรือผู้ซื้อรายใหม่ๆ ได้รับผลกำไรตอบแทนจากการซื้อขายหุ้นนี้มากยิ่งขึ้น พวกเขาก็มักเลิกเล่นหุ้นเร็วขึ้น ลองคิดดูว่าหากคุณมีอะไรสักอย่างเพื่อช่วยการสร้างผลกำไรให้คุณ คุณก็จะสามารถดำเนินการซื้อขายต่อไปได้ แม้ว่าสถานการณที่เกิดขึ้นมันจะมีความยากเย็นแสนเข็ญ หรือเสี่ยงขนาดไหนก็ตาม ตราบเท่าที่คุณยังสามารถใช้ตัวช่วยนี้ คุณก็จะยังคงสานต่อสิ่งที่คุณวางแผนเอาไว้ตั้งแต่แรกได้ต่อไป วันนี้ผมอาศัยการไร้เสถียรภาพของดัชนี Russell เพื่อจะดึงราคาหุ้นในตลาดให้ปรับตัวสูงขึ้นทำลายสถิติสูงสุดในรอบวันศุกร์ เมื่อเราซื้อหุ้นในตอนเช้า แต่ไม่สามารถทำลายสถิติสูงสุดในเช้านั้นได้แล้ว (รวมทั้งของเมื่อวันศุกร์ด้วย) ผมเลยเทขายหุ้นไปก่อนจนกว่าราคาซื้อหุ้นทะยานสูงขึ้น ผมจึงสามารถใช้แนวทางการซื้อขายหุ้นดีๆ แบบนี้ในช่วงเช้าที่สถานการณ์ในตลาดค่อนข้างจะเป็นไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ
ฉะนั้นแล้ว เราลองย้อนกลับมาทบทวนแนวทางการซื้อขายหลักทรัพย์อีกที
1. ก่อนที่คุณจะเสี่ยงลงเงินทุนอะไรไปก็ตาม ควรจะศึกษาหาข้อมูลให้พร้อมเกี่ยวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์เสียก่อน
2. เมื่อใดก็ตามที่เห็นแล้วว่าแนวทางความคิดของคุณสร้างผลกำไรได้อย่างรวดเร็ว ตักตวงผลกำไรที่ได้นั้นเสีย
3. อย่าไปสนใจอยู่กับการซื้อขายหุ้นของผู้ลงทุนรายย่อย ให้มุ่งไปดูความสามารถหรือความเป็นไปได้ในการทำกำไรจากหุ้นรายกลุ่ม และวัน เปิดตลาดซื้อขายในหลายวัน
ผมเองก็รู้นะว่าสิ่งที่ผมพูดไปมันอาจจะฟังดูธรรมดา และน่าขำ แต่ตอนนี้ผมสามารถมองในกระจก และบอกกับตัวเองว่า ผมได้ทำตามหลักการ 3 ข้อนี้มาโดยตลอดช่วงสองสามปีให้หลัง ถ้าจะให้เปรียบการซื้อขายหุ้นกับกีฬา คงเปรียบได้กับบาสเก็ตบอล ในเกมกีฬานั้นลูกหรือ ตาที่ผู้เล่นสามารถชูทลงห่วงได้เท่านั้นนี่แหละ ถึงจะเป็นที่สนใจของทุกคน มันย่อมมีทั้งความเสี่ยงที่จะพ่ายแพ้ในเกม แต่หากคุณสามารถเอาชนะได้ นั่นก็หมายความถึงจำนวนเงินมหาศาลที่จะเข้ามา เช่นเดียวกับการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หากแต่การสร้างชัยชนะหรือผลกำไรตอบแทนได้นั้น ยังไม่ได้แปลว่าคุณจะประสบความสำเร็จ หรือสามารถสร้างมันได้อีกในระยะยาว องค์ประกอบสำคัญที่จะนำมาซึ่งความสำเร็จแท้จริงมัน คือการวางแผน และจัดการกับการซื้อขายหุ้นได้ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปไม่ได้ให้ความสนใจอะไรนัก หากแต่เมื่อคุณสามารถบรรลุเป้าหมายที่คุณได้วางแผน และจัดการไว้ได้แล้วไซร้ นั่นก็หมายถึงการได้มาซึ่งความสำเร็จในสายอาชีพของคุณเช่นกัน
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 15 : การบำบัดโดยสังเขป – ส่วนที่ 1 : การบำบัดด้านจิตใจอย่างดี
Image Credit : www.stock2morrow.com
โดยทั่วไปแล้วมักสันนิษฐานกันว่าบทบาทของนักจิตวิทยา คือการช่วยเหลือให้ผู้คนแก้ไขปัญหาของตนเองได้ ซึ่งสิ่งที่เก็บไว้เบื้องหลังอยู่ในใจของเรา คือภาพลักษณ์ของคนป่วยที่นอนอยู่บนเก้าอี้ยาวกำลังคุยกับนักวิเคราะห์โฟรเดียน ความจริงแล้วจิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่มีมานานนับตั้งแต่เริ่มต้นในฐานะที่เป็น “การเยียวยาด้วยการสนทนา” แท้จริงแล้ววิธีการใหม่ๆ หลายแบบที่ได้มีการศึกษาค้นคว้า และพิสูจน์ความถูกต้องกันอย่างกว้างขวางผ่านการวิจัย โดยไม่ได้มุ่งเน้นเรื่องของการสนทนาเลย
อย่างไรก็ดี สมมติฐานเดิมนั้นค่อยๆ หายไปอย่างช้าๆ ผู้คนอาจทึกทักว่าคุณนั้นจำเป็นจะต้องมี “ปัญหา” เพื่อพบนักจิตวิทยา จริงๆ แล้วบริษัทประกันภัยจะไม่ชำระเงินคืนให้กับการไปพบนักจิตวิทยา และจิตแพทย์ ยกเว้นว่าจะมี “การวินิจฉัย” ปัญหาที่ “ได้รับการบำบัด” ซึ่งมีข้อสงสัยเล็กน้อยว่าแบบแผนตัวอย่างที่ยังยืนกรานว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกิดขึ้นกับคุณ หากคุณจำเป็นต้องพบกับ “จิตแพทย์”
ความเป็นจริง คือนักจิตวิทยาที่ดีไม่ใช่จิตแพทย์ แต่เป็นการขยายจิตใจ และวิสัยทัศน์ของบุคคล เป้าหมายไม่ใช่การแก้ไขปัญหาต่างๆ แต่เป็นการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น จิตวิทยาเป็นเรื่องของการสร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิต ซึ่งบางครั้งความเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์เหล่านี้เป็นการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในวิธีการคิด, วิธีที่เรารู้สึก หรือวิธีที่เราแสดงออก ทั้งนี้ การใช้ประโยชน์จากจิตวิทยาไม่ได้จำเป็นว่าคุณจะต้องมีปัญหา เพียงแต่ต้องมีความปรารถนาที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
กลุ่มวิธีการต่างๆ ที่รู้จักกันว่าเป็นการบำบัดโดยสังเขป คือสิ่งที่ดูมีความหวังสดใสอย่างมาก เนื่องจากเป็นวิธีที่ช่วยเร่งกระบวนการแห่งการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเร็วขึ้น ผมได้อ้างอิงถึงการบำบัดโดยสังเขปว่าเป็นสิ่งที่ดีกับจิตใจอย่างมาก ทั้งนี้ มีหลายคนที่มีปัญหาทางสุขภาพจิตเรื้อรัง ซึ่งไม่ใช่คนที่จะเหมาะสมกับงานโดยสังเขปชีวิตอันยาวนาน, ปัญหาร้ายแรงที่มักเกิดขึ้น และต้องได้รับการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง รวมถึงความช่วยเหลือในการรักษาด้วยยาเช่นกัน อย่างไรก็ดี การบำบัดทางจิตใจไม่ใช่สิ่งที่รุมล้อมไปด้วยปัญหา เพราะเป็นเพียงความสนใจในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเท่านั้น บางครั้งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้เกิดขึ้นเพียงเพื่ออธิบายจุดแข็งต่างๆ ให้ละเอียดมากยิ่งขึ้นจนสามารถทำในสิ่งที่ทำอยู่ได้ดีขึ้นเรื่อยๆ
ผู้ค้าที่ทำรายได้กว่า 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ เมื่อปีก่อน และทำรายได้มากกว่านั้นในปีก่อนหน้านี้ถือเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยันในการประชุมกับผมเมื่อเร็วๆ นี้ก่อนวันปีใหม่ เพื่อกำหนดแง่มุมต่างๆ ในการปรับปรุงและกำหนดเป้าหมายอันเป็นแนวทางในการประชุมเกี่ยวกับเป้าหมายเหล่านี้สำหรับปี 2007 เป้าหมายของเขา คือการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ไม่ใช่การกำจัดปีศาจในตัวเขาเอง ซึ่งนั่นเป็นการใช้ประโยชน์จากการบำบัดได้อย่างยอดเยี่ยมสำหรับการเยียวยาทางจิตใจเป็นอย่างดี
ดังนั้นคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าคุณสามารถใช้ประโยชน์จากงานโดยสังเขปนั้นได้อย่างไร? นี่คือคำแนะนำบางประการ ได้แก่ พฤติกรรมที่ถูกกำหนดไว้เป็นรูปแบบวิธีการคิด, รู้สึก และแสดงออกของเราเป็นสิ่งมีแบบแผน ซึ่งแบบแผนดังกล่าวนี้เอง คือสิ่งที่หล่อหลอมให้เราเป็นอย่างที่เราเป็น และผลรวมของแบบแผนของเรานั้น ก็คือบุคลิกภาพของเรานั่นเอง
อย่างไรก็ดี บางครั้งแบบแผนของเรากลับเป็นสิ่งที่แทรกแซงเป้าหมายในชีวิต และขัดขวางตัวตนของเราไม่ให้เป็นในแบบที่เราอยากเป็นหรือประสบความสำเร็จในสิ่งที่เราปรารถนา
บางทีอาจมีช่วงเวลาที่คุณพูดกับตัวเองว่า “ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันจึงยัง (เติมคำในช่องว่าง) ฉันหวังว่าฉันจะหยุดมันได้สักที” คุณสามารถเติมคำในช่องว่างได้ด้วยวลีต่อไปนี้ หรือวลีอื่นๆ ตามต้องการ
“อารมณ์เสีย”
“ตกต่ำอยู่อย่างนี้”
“ลงเอยด้วยความสัมพันธ์แย่ๆ”
“กินมากเกินไป”
“ทำร้ายตัวเอง”
“ซื้อขายแบบโง่ๆ”
“ผลัดวันประกันพรุ่ง”
“ผลักไสผู้คนให้ไปไกลๆ”
“เป็นกังวล”
“อึดอัดภายใต้สภาวะกดดัน”
สถานการณ์แต่ละอย่างข้างต้นนี้ทำให้เราตระหนักว่า มีรูปแบบพฤติกรรมบางอย่างที่เราไม่สามารถควบคุมได้เต็มที่ รูปแบบนี้มักเป็นสิ่งที่ผู้คนยึดมั่นถือมั่นอย่างมากจนกลายเป็นนิสัย หากคุณสามารถระบุแบบแผนที่กำลังเกิดขึ้นในเส้นทางของคุณได้แล้ว คุณก็จะสามารถใช้ประโยชน์จากการประยุกต์ใช้จิตวิทยาระยะสั้นได้
การบำบัดโดยสังเขปนั้นเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงรูปแบบต่างๆ ที่ไม่สามารถตอบสนองเราได้ดีอีกต่อไป โดยขั้นตอนที่สองของการบำบัดด้านจิตใจนี้คือการถามตัวคุณเองว่า อะไรคือรูปแบบที่ฉุดรั้งตัวคุณไว้จากเป้าหมาย และจากคนที่คุณอยากเป็นมากที่สุด?
ถ้าอย่างนั้นแล้วอะไรคือขั้นตอนแรกล่ะ? คำตอบก็คือ การรู้จักเป้าหมายของเรานั่นเอง เพื่อให้รู้ว่าคุณอยากจะเป็นคนแบบไหน มีคนจำนวนมากที่ไม่เคยก้าวเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องเหมาะสมกับตัวเอง นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่เคยกำหนดจุดหมายปลายทางไว้นั่นเอง
ดังนั้น นี่คือที่ที่เราจะเริ่มต้นกันในโพสต์ถัดไปของชุดบทความนี้ อันเป็นการค้นหาว่าคุณต้องการจะไปยืนอยู่ ณ จุดใดในชีวิต จากนั้นเราจะมาดูกันต่อว่าอะไรที่อาจจะเป็นสิ่งที่กำลังฉุดรั้งคุณไว้
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญประการแรกที่ควรทราบ ก็คือการแก้ไขปัญหาไม่ได้ช่วยให้เป้าหมายกับคุณ การปีนป่ายอยู่บนบันไดแห่งความสำเร็จอย่างเกรี้ยวกราดก็ไม่ได้ช่วยอะไรคุณได้ หากคุณยังคงพึ่งพาอยู่กับโครงสร้างที่ผิดๆ
การบำบัดโดยสังเขปนี้ไม่ได้เริ่มต้นด้วยปัญหาต่างๆ แต่เป็น สิ่งที่เริ่มต้นด้วยเป้าหมาย และวิสัยทัศน์สำหรับอนาคต ซึ่งหากปราศจากวิสัยทัศน์แล้ว นั่นหมายความว่าเรากำลังใช้ชีวิตราวกับคนตาบอด การบำบัดทางจิตใจอย่างดีนั้นเริ่มต้นไปพร้อมๆ กับการตระหนักรู้ว่า นี่คือเวลาในการเปิดหูเปิดตาให้กว้างเพื่อพัฒนาวิสัยทัศน์ของเราเอง
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 16 : การบำบัดโดยสังเขป – ส่วนที่ 2 : วิสัยทัศน์ และเป้าหมาย
Image Credit : http://zhugeliang07.blogspot.com
ในโพสต์ของผมล่าสุดเมื่อเร็วๆ นี้ ผมได้อธิบายถึงเทคนิคการเปลี่ยนแปลงที่ผมได้อ้างถึงว่าเป็นเสมือน “การบำบัด” สำหรับด้านจิตใจอย่างดี ซึ่งหากจะกล่าวโดยสังเขปแล้ว แนวทางอันเคร่งครัดสำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้แตกต่างไปจากการบำบัดแบบพูดคุยในลักษณะดั้งเดิมค่อนข้างมาก อันเป็นการพูดคุยถึงสิ่งที่เข้ามาในจิตใจของบุคคลเมื่อพวกเขานึกถึงจิตวิทยา ในโพสต์ต่อจากนี้ ผมจะได้อธิบายถึงวิธีการเฉพาะอย่างบางประการ รวมถึงวิธีการใช้ในสถานการณ์การซื้อขายต่างๆ รวมถึงสถานการณ์ในชีวิตอื่นๆ ที่มีความสำคัญในแง่ของการบรรลุผลสำเร็จด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ผมยังได้กล่าวถึงในโพสต์ก่อนหน้านี้ว่า เทคนิคเหล่านี้ไม่ใช่ขั้นตอนแรกๆ ในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ซึ่งการกำหนดเป้าหมายสำหรับการเปลี่ยนแปลงนั้นดูจะเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากกว่า เพื่อเป็นการทราบถึงสิ่งที่คุณต้องการจะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างแรก
มันไม่ง่ายเลยที่เราจะมานั่งครุ่นคิดวันแล้ววันเล่ากับความรับผิดชอบต่างๆ ทั้งในที่ทำงาน และที่บ้าน อันเป็นภาพใหญ่ของชีวิตที่เกิดขึ้นเบื้องหลัง ในทุกๆ ปีเรามักยุ่งอยู่กับตัวเอง และภาระงาน รวมถึงกิจวัตรประจำวันอื่นๆ เพียงเพื่อจะมาตระหนักในภายหลังว่าโอกาสดีๆ หลายอย่างได้ผ่านพ้นเราไปแล้ว
ดังนั้น คำถามข้อแรก คือการกล่าวถึงกระบวนการเปลี่ยนแปลงว่า “อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการเปลี่ยนแปลง?” หรือในทางตรงกันข้าม “คุณอยากจะให้ชีวิตของคุณแตกต่างไปอย่างไร?”
คำตอบโดยทั่วไปสำหรับคำถามนี้เกี่ยวข้องกับการกำจัด หรือการลดความคิดเชิงลบ เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ เช่น “ฉันอยากหยุดความคิดในแง่ลบเหล่านี้”, “ฉันอยากรู้สึกกระวนกระวายน้อยลง” หรือ “ฉันอยากโต้แย้งให้น้อยลงในความสัมพันธ์ของฉัน” เป็นต้น แม้ว่าจะมีการตอบสนองในเชิงบวกก็ตาม แต่ก็ยังคงมีความไม่ชัดเจนที่ว่า ไม่มีใครสามารถแสดงตนออกมาได้อย่างแท้จริงเกี่ยวกับบางอย่าง เช่น “ฉันอยากรู้สึกดีกับตัวเองมากกว่านี้” หรือ “ฉันอยากจะเป็นผู้ค้าที่ดีกว่านี้”
การขาดเป้าหมายที่เป็นรูปธรรม และสามารถนำไปปฏิบัติได้จริง รวมถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนสำหรับอนาคต คือเหตุผลหลักที่เรายังคงจมอยู่กับเรื่องเล็กน้อยประจำวันแบบนี้ ซึ่งสามารถปล่อยผ่านไปได้ และไม่จำเป็นที่จะต้องเอาติดไปกับตัวในวันข้างหน้าด้วย
หากชีวิตของคุณคือผ้าแคนวาส และคุณเองก็คือจิตรกร งานที่เสร็จสมบูรณ์แล้วจะดูเป็นอย่างไร? งานชิ้นนั้นจะเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ผสมผสานแนวทาง และการบูรณาการในตัวเองหรือไม่? หรือจะเป็นการรวบรวมเองสีสัน และรูปทรงต่างๆ แบบสุ่มเข้าด้วยกันโดยปราศจากความหมาย หรือนัยสำคัญใด?
จิตรกรจะจับเอาวิสัยทัศน์ของตนเองลงมาแสดงบนผืนผ้าแคนวาส แล้ววิสัยทัศน์ของคุณสำหรับผ้าแคนวาสแห่งชีวิตคืออะไร? นี่คือการออกกำลังที่เป็นประโยชน์อย่างหนึ่งที่อาจช่วยให้คุณตอบคำถามนั้น ได้ลองจินตนาการถึงความตายของตัวคุณเอง คุณได้ตายไปแล้ว และบนป้ายหลุมศพนั้นก็มีคำจารึกสำหรับไว้อาลัยคุณด้วย แล้วข้อความแบบไหนกันล่ะที่จะเขียนอยู่บนป้ายหลุมศพนั้น? อะไรคือประโยคที่สามารถอธิบายถึงสิ่งที่คุณได้ทิ้งไว้เบื้องหลัง และผลกระทบของคุณที่เกิดขึ้นในระหว่างที่คุณยังมีชีวิตอยู่ได้? ลองจินตนาการอย่างเฉพาะเจาะจงให้มากที่สุดเกี่ยวกับสิ่งที่คุณอยากจะกล่าวถึงบนป้ายหินนั้น
ตอนนี้ลองจินตนาการว่าคุณได้รับผลการทดสอบทางการแพทย์จากคุณหมอของคุณ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคุณเหลือเวลาที่จะมีชีวิตอยู่อีกแค่ 5 ปีเท่านั้น และไม่มีการรักษาหรือการบรรเทาใดที่เป็นไปได้สำหรับโรคร้ายของคุณภายใน 5 ปีนี้ คำจารึกของคุณจะต้องถูกเขียนลงบนป้ายหลุมศพอย่างแน่นอน
แล้วคุณจะทำอะไรในหว่าง 5 ปีนี้ดีล่ะครับ?คุณ จะสร้างการเปลี่ยนแปลงแบบสุดขั้ว และทำสิ่งต่างๆ ให้แปลกออกไปจากเดิมแบบที่คุณเคยทำ หรือคุณจะแค่ทำสิ่งเดิมๆ แบบที่เคยทำอยู่แล้วแบบเร่งรีบมากขึ้น? อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการใน 5 ปีนี้ เพื่อให้บรรลุตามคำจารึกบนป้ายหลุมศพในช่วงปลายชีวิตของคุณอย่างแท้จริง?
หากคุณอยากจะทำให้คำจารึกดังกล่าวแตกต่างไปจากสิ่งที่คุณกำลังอยู่ตอนนี้อย่างสุดโต่ง คุณอาจจะกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่ผิด คุณจะต้องค้นหาเป้าหมายของตัวเองจากกิจกรรมต่างๆ ที่คุณจะทำให้ 5 ปีที่เหลืออยู่นี้ รวมถึงสาระสำคัญที่คุณอาจค้นพบความหมายบางอย่างในชีวิต สิ่งที่คุณอยากทำให้สำเร็จ ตลอดจนสิ่งที่คุณอยากทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์เบื้องหลังอีกด้วย
การเรียนรู้เทคนิคเหล่านี้เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้เกิดขึ้นเป็นส่วนที่ง่ายมาก เพราะส่วนที่ยากกว่า คือการรู้ว่าความเปลี่ยนแปลงใดที่คุณต้องการจะให้เกิดขึ้นจริงๆ และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดในใจคุณ ครั้งหนึ่งมาร์ค ทเวน (Mark Twain) ได้เคยแนะนำผู้คนว่า อย่าปล่อยให้ระบบการศึกษามาขัดขวางการเล่าเรียนหาความรู้ของคุณ ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราจะไม่ปล่อยให้ชีวิตมาขัดขวางการดำรงชีวิตอยู่ของเราเช่นกัน
คุณคงไม่อยากเป็นบุคคลที่มานั่งเสียใจในตอนท้ายของชีวิตหรอกครับที่ได้ทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวด ผ้าแคนวาสที่เต็มไปด้วยแถวสีต่างๆ ได้วางอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว สิ่งสำคัญทั้งหมด ก็คือโอกาสที่ได้ช่วยสร้างความเป็นตัวตนของคุณขึ้นมา เพื่อให้พร้อมเผชิญหน้ากับช่วงสุดท้ายของความภาคภูมิใจ การเติมเต็ม และความรู้สึกที่ได้สร้างสรรค์งานศิลปะของแห่งชีวิตที่คุณได้รับนั่นเอง
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 17 : การบำบัดโดยสังเขป – ส่วนที่ 3 : การเปลี่ยนเป็นตัวละครในอุดมคติของคุณ
Image Credit : xn--12cfan0fnd6dr4ha1dxai1ola.blogspot.com
ผมกำลังนั่งอยู่ในห้องรับรอง และอ่านนิตยสารชื่อดังเล่มหนึ่ง ซึ่งทำให้ผมได้พบกับคำพูดที่น่าสนใจมากของนักแสดง/ผู้กำกับอย่าง เมล กิ๊บสัน ผู้สัมภาษณ์ได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นที่ว่า นักแสดงหลายคนในภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Apocalypto ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านการแสดงมาก่อนเลย ดังนั้น ผู้สัมภาษณ์จึงได้ถามว่า มันยากหรือไม่ในการทำงานร่วมกับพวกเขาเหล่านี้ในฐานะผู้กำกับ?
คำตอบของกิ๊บสัน คือมันไม่ได้ยากไปซะทีเดียว เขายืนยันว่า การสอนใครให้แสดงตามบทบาทต่างๆ นั้น สิ่งที่จำเป็นต้องทำคือ การแสดงให้พวกเขาเห็นว่าควรจะหายใจ และแสดงอารมณ์ของตัวละครที่พวกเขาพยายามแสดงอย่างไร หากนักแสดงสามารถเปลี่ยนการหายใจของตัวเองได้แล้ว พวกเขาจะสามารถเข้าสู่สถานะทางอารมณ์ตามบทบาทที่กำหนดของตนได้
และเพื่อความแน่ใจ ผมยังไม่ทันได้เห็นด้วยกับข้อคิดเห็นต่างๆ ของกิ๊บสันทั้งหมด แต่สิ่งนี้ทำให้ผมติดตรึงอยู่กับมุมมองดังกล่าว มีหลากหลายวิธีสำหรับการบำบัดระยะสั้นที่เพิ่มความกระวนกระวายของลูกค้าอย่างจงใจ ไม่ว่าจะเป็นการเผชิญกับรูปแบบต่างๆ ของการหลีกเลี่ยง, การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง และการป้องกันตนเอง เป็นต้น ซึ่งภายใต้เงื่อนไขของอารมณ์ที่พุ่งเพิ่มขึ้นเช่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความกลัดกลุ้มใจ แต่ละบุคคลจะสามารถเข้าถึงความทรงจำ, ความเข้าใจเชิงลึก และมุมมองต่างๆ ที่พวกเขาไม่มีเมื่อครั้งย่างก้าวเข้าไปในประตูเป็นครั้งแรก การเปลี่ยนสถานะทางจิตใจ และร่างกายของบุคคลนั้น นักจิตวิทยายังต้องเปลี่ยนการตระหนักรู้ของพวกเขาด้วย
ลองคิดถึงสถานการณ์ของความกระวนกระวายในการสอบดูนะครับ นักเรียนคนหนึ่งอาจร่ำเรียนอย่างหนักเพื่อการสอบ และรู้ว่าข้อสอบนั้นยากมากทีเดียว ในสภาวะของความกระวนกระวายอย่างนี้ นักเรียนจะรู้สึกวิตกกังวล กล้ามเนื้อตึงเครียดมากขึ้น ความคิดในแง่ลบพรั่งพรูเข้ามา และหายใจไม่ทั่วท้องมากยิ่งขึ้นด้วย ในมุมมองของกิ๊บสันนั้น นักเรียนผู้นั้นกำลังอยู่ในภาวะตื่นตระหนกจากการรับเอาความเชื่อที่มีผลต่อพฤติกรรม และสภาวะจิตใจของผู้ที่รู้สึกกลัดกลุ้มใจทันทีที่สภาวะนี้เปลี่ยนแปลงไป นักเรียนคนดังกล่าวจะไม่สามารถเข้าถึงสิ่งที่เขา หรือเธอเคยรู้ได้อีกต่อไป
สิ่งที่เกิดขึ้นได้แสดงให้เห็นว่า เราอยู่ในสภาวะการเข้าถึงสิ่งที่เรารู้ได้อย่างง่ายดาย หรือถูกปิดกั้นการเข้าถึงความรู้ดังกล่าว นอกจากนี้ สิ่งที่เรารู้จักยังสัมพันธ์กับสภาวะที่เรากำลังเป็นอีกด้วย ซึ่งหากปราศจากการตระหนักรู้ เราก็จะเป็นเช่นนักแสดงที่เปลี่ยนแปลงการหายใจ, ท่าทาง, การเคลื่อนไหว, รูปแบบ ตลอดจนกระบวนการคิดต่างๆ ของเราเพื่อสร้างสรรค์การแสดงออกอย่างมั่นใจ อย่างไรก็ดี นักแสดงชาย และนักแสดงหญิงจะเปลี่ยนแปลงสภาวะต่างๆ ของตนเองอย่างตั้งใจเพื่อสรรสร้างการแสดงของพวกเขา และเมื่อเราเปลี่ยนสภาวะของเราแล้ว มันก็จะมักจะเกิดขึ้นโดยปราศจากความตระหนักรู้ของเราด้วยเช่นกัน
ผมยอมรับว่า การเข้าถึงความรู้ที่ฝังอยู่ในตัวบุคคลเกี่ยวกับรูปแบบตลาด และการค้านั้น เป็นสิ่งที่ถูกควบคุมโดยสภาวะต่างๆ ในช่วงที่เรากำลังตัดสินใจ หากร่างกายของเราหยุดนิ่ง หายใจไม่ทั่วท้อง และความคิดต่างๆ ของเรากำลังวิตกกังวล ก็คงยากที่เราจะสร้างสภาวะเงื่อนไขที่เราอาจได้ประสบพบเจอด้วยตัวเราตามปกติ ได้อย่างมีพลัง, มั่นใจ และอยู่ภายใต้การควบคุม เราล้มเหลวอย่างไม่ตั้งใจ เนื่องจากเราแสดงออกตามบทบาทของบุคคลที่ไม่มีประสิทธิภาพนั่นเอง
ดังนั้น จะเป็นอย่างไรหากเราติดตามสภาวะของจิตใจ และร่างกายที่เรากำลังเผชิญอยู่ เมื่อเรากำลังทำการค้าอย่างมีประสิทธิภาพ และจากนั้นสร้างความพยายามอย่างตั้งใจเพื่อให้เข้าถึงสภาวะต่างๆ เหล่านี้ผ่านวันที่ทำการค้า? จะเกิดอะไรขึ้นหากเราปฏิบัติ ตามคำแนะนำของกิ๊บสัน รวมถึงกระบวนการทางจิตใจ และกายภาพที่เชื่อมโยงกับความสำเร็จ? เมื่อไม่นานมานี้ นักจิตวิทยาสังคมท่านหนึ่งชื่อว่า เคลลี่ ได้คิดค้นการบำบัด เพื่อกระตุ้นให้ผู้คนแสดงออกตามอุดมคติของตนเอง กล่าวคือการแสดงหรือเล่นเป็นบุคคลที่พวกเขาต้องการจะเป็น นอกจากนี้ เขายังให้พวกเขาตั้งชื่อ, บุคลิกภาพ และภูมิหลังของบทบาทที่พวกเขาแสดงอีกด้วย
สิ่งที่เขาได้ค้นพบ ก็คือในขณะที่ผู้คนแสดงออกตามบทบาทในอุดมคติของตนเองอยู่นั้น พวกเขาเริ่มได้รับการตอบรับเชิงบวก ในทางกลับกัน สิ่งนี้ได้ช่วยกระตุ้นให้พวกเขาแสดงตามบทบาทนั้นต่อ เพื่อให้ได้การตอบรับเชิงบวกเพิ่มขึ้น หลังจากนั้น บทบาทดังกล่าวก็จะมีความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น ซึ่งลูกค้าของเคลลี่ได้ซึมซับเอาบทบาทต่างๆ เหล่านี้เข้าไปในขณะที่กำลังแสดงด้วยเช่นกัน
เรามักคิดว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองจากภายใน (ความคิด และความรู้สึกของเรา) เพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของเรา แต่จะเป็นอย่างไรถ้าเรารับเอาพฤติกรรมที่แตกต่างมากๆ และ *หลังจากนั้น* สร้างชุดความคิด, ความรู้สึก และประสบการณ์ใหม่ๆ? จะเกิดอะไร ขึ้นหากเราถอดความนิตเช่ เราจะกลายเป็นนักแสดงหรือผู้เล่นตามอุดมคติของเราเอง ซึ่งหมายความว่าเราได้เดินเข้าใกล้อุดมคติเหล่านั้นมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว?
สำหรับผู้ที่พัฒนาทักษะทางการค้าต่างๆ บางทีความสำเร็จอาจเป็นเพียงแค่เรื่องของการค้นหาสภาวะทางจิตใจ กายภาพ และอารมณ์ในการเข้าถึงทักษะที่สามารถเพิ่มพูนได้ ทั้งนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากมายสำหรับการทดสอบตัวเองสำหรับผู้ค้าที่มีแนวโน้มอยากพยายามทำอย่างต่อเนื่อง
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 18 : การบำบัดโดยสังเขป – ส่วนที่ 4 : การกำหนดประสบการณ์ของตนเอง
Image Credit : www.gold2gold.com
เมื่อช่วงสัปดาห์ก่อนที่ผ่านมา ผมได้อธิบายเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้จิตวิทยาแบบระยะสั้นในฐานะที่เป็น “การบำบัดทางด้านจิตใจที่ดี” โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้เกิดขึ้น ซึ่งไม่จำเป็นจะต้องกำจัดข้อบกพร่องต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้าแต่อย่างใด ด้วยเหตุนี้ ก้าวแรกของกระบวนการเปลี่ยนแปลง คือการมีวิสัยทัศน์ของการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่คุณต้องการจะให้เกิดขึ้น โดยเชื่อมโยงการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกนี้เข้ากับสถานะทางอารมณ์, ร่างกาย และการนึกคิดที่แตกต่างกัน เพื่อให้เราสามารถกลายเป็นตัวละครในอุดมคติของเราได้นั่นเอง
ขอให้ผมได้อธิบายถึงการเปรียบเทียบที่ผมได้ใช้ในหนังสือที่มีชื่อว่า จิตวิทยาของการซื้อขาย ความตระหนักรู้เปรียบเสมือนกับหน้าปัทม์วิทยุ และเราใช้งานได้บนหลายๆ ความถี่ แต่ละจุดบนหน้าปัทม์วิทยุ ก็คือสถานะเฉพาะอย่าง ซึ่งก็คือ การผสมผสานประสบการณ์ของเรากับร่างกาย และจิตใจของเรานั่นเอง ทั้งนี้ ผู้เรียนที่วิตกกังวลกับการสอบจะมีตำแหน่งบางอย่างบนหน้าปัทม์ของพวกเขาที่ รวมเอาความคิดในแง่ลบ, ความตื่นตัวที่เพิ่มขึ้น, การหายใจแบบตื้นๆ เร็วๆ และการเข้าถึงข้อมูลที่ได้รับน้อยลง นอกจากนี้ ตำแหน่งอื่นๆ บนหน้าปัทม์ยังอาจรวมถึงความคิดในแง่บวก, สมาธิที่ตื่นตัว, ท่าทางแบบตั้งตรง และการหายใจอย่างทั่วท้องเต็มที่ ในขณะที่ใช้งานความถี่เหล่านี้อยู่นั้น ผู้เรียนจะสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ได้ศึกษามา และสามารถทำข้อสอบได้อย่างยอดเยี่ยม สิ่งที่เรารู้จักและสิ่งที่เราเป็นนั้นมีความสัมพันธ์กับความถี่ต่างๆ ของการตระหนักรู้ในขณะที่เรากำลังใช้งาน
อย่างไรก็ดี ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตำแหน่งบางจุดบนหน้าปัทม์วิทยุส่วนตัวของเราได้ถูกกำหนดไว้ในเชิงลบ เพราะจริงๆ แล้ว ปัญหานั้นเกิดจากการที่เราขาดการควบคุมเจตนา หรือความตั้งใจอย่างเต็มที่บนหน้าปัทม์ของเราเอง อาจกล่าว ได้ว่าเราเปลี่ยนสถานีต่างๆ ได้โดยที่ปราศจากเจตนาที่จะกระทำดังกล่าว ซึ่งสิ่งที่การบำบัดโดยสังเขปสามารถทำได้ประสบผลสำเร็จ ก็คือการควบคุมการเลือกความถี่ของเราเองได้ดียิ่งขึ้น ด้วยการช่วยให้เราเปลี่ยนหน้าปัทม์ของเราได้ และด้วยแนวคิดนี้มันจึงกลายเป็นการฝึกสอนด้านการซื้อขายของเราเอง เพื่อสร้างความสามารถในตัวให้ก้าวไปถึงเป้าหมายของเราได้สำเร็จ
อะไรคือสิ่งที่ทำให้ “สถานีวิทยุ” เหล่านั้นสร้างหน้าปัทม์แห่งการตระหนักรู้ขึ้นมาได้? คำตอบนั้นมีอยู่ 2 ประการ ได้แก่ ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ จนกลายเป็นรูปแบบนิสัย และประสบการณ์ทางอารมณ์ที่ทรงพลังที่ผ่านการประมวลผล เป็นความบอบช้ำ ในขณะที่บางสถานีบนหน้าปัทม์วิทยุในรถของเราเริ่มอ่อนกำลัง สถานีอื่นๆ กลับเริ่มสร้างสัญญาณที่มีกำลังมากกว่า เช่นเดียวกับสถานะของเราที่อาจอ่อนแอบ้างในบางครั้ง และอาจควบคุมหน้าปัทม์ได้ในบางช่วง ยิ่งมีประสบการณ์เกิดขึ้นแบบซ้ำๆ มากเท่าไร ประสบการณ์ของเราก็จะยิ่งมีพลังมากเท่านั้น และแน่นอนว่ามันย่อมจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความคิดในการตระหนักรู้ของคุณด้วย
ในขณะที่ผมกำลังเน้นย้ำในหนังสือเรื่อง การเพิ่มประสิทธิภาพของผู้ซื้อขาย อยู่นั้น มีเหตุผลหนึ่งที่ผู้ซื้อขายมักจะล้มเหลว นั่นก็คือ พวกเขาสร้างประสบการณ์ทางอารมณ์ในเชิงลบแบบซ้ำๆ สำหรับตัวเอง แท้จริงแล้ว นี่เป็นสาเหตุที่ผมได้รวมเอาคู่มือการช่วยเหลือตนเองไว้ด้วย เพื่อใช้เป็นเทคนิคในการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม และการตระหนักรู้ โดยประกอบไปด้วยเนื้อหา 2 บทในหนังสือเล่มดังกล่าวที่กล่าวถึงอย่างง่ายๆ ว่า ผู้ซื้อขายสามารถค้นพบตัวเองได้ด้วยการใช้ความถี่ต่างๆ ที่พวกเขาไม่ต้องการประสบพบเจอ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงหน้าปัทม์ของพวกเขาโดยปราศจากการยินยอม หรือการควบคุม และทั้งหมดที่เกิดขึ้นบ่อยมากๆ เพื่อเปลี่ยนความถี่ของการตระหนักรู้ คือการเปลี่ยนผ่านแบบเรียบง่ายในองค์ประกอบของความถี่ เช่นความคิดในแง่ลบ, การเปลี่ยนแปลงรูปแบบท่าทาง หรือการหายใจของเรา ตลอดจนอารมณ์ชั่ววูบ สิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้การควบคุมประสบการณ์ของเราเองลดลง
นอกจากเทคนิคด้านการตระหนักรู้ และพฤติกรรมที่กล่าวถึงข้างต้นนี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างมหาศาลแล้ว ยังถือเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้สามารถกำหนดตำแหน่งใหม่ๆ บนหน้าปัทม์ของการตระหนักรู้ได้เองอีกด้วย ซึ่งการจะทำเช่นนี้ได้จะต้องมีการซักซ้อมรูปแบบของความคิด และพฤติกรรมเชิงบวกในขณะที่คุณกำลังอยู่ในภาวะทางอารมณ์ และกายภาพที่แตกต่างกัน อันเป็นหนึ่งในวิธีการที่รวดเร็วที่สุด และเชื่อถือได้มากที่สุดในการสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้น
ตัวอย่างเช่น การกล่าวถึงพฤติกรรมที่พึงปรารถนาเป็นการยึดเหนี่ยวชัยชนะในการซื้อขายระยะยาวยิ่งขึ้น คุณอาจจะต้องมีการซักซ้อมทางด้านจิตใจเพื่อรับมือกับสถานการณ์ทางการตลาด และการซื้อขาย ด้วยการเน้นย้ำถึงความตื่นเต้น ความสุข และกำไรที่คุณจะได้รับหากสำเร็จตามเป้าหมายในขณะที่คุณกำลังผลักดันตัวเองในระหว่างที่ต้องทำงานอย่างขยันขันแข็ง ซึ่งการตั้งเป้าความมุ่งมั่นไปพร้อมๆ กับเร็วที่ดีนั้นจะช่วยให้คุณสามารถวิ่งเหยาะๆ ไปบนทางเท้าได้อย่างกระฉับกระเฉง และเพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจได้อีกด้วย ทั้งนี้ การทำซ้ำๆ ดังกล่าวจะทำให้คุณเริ่มเชื่อมโยงเข้ากับเป้าหมายได้มากขึ้น อันส่งผลดีต่อจิตใจ และร่างกายของคุณด้วยเช่นกัน จนในที่สุดมันจะกลายเป็นสัญญาณที่มีกำลังแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ บนหน้าปัทม์วิทยุของคุณ ดังนั้น ก่อนการซื้อขายและในระหว่างช่วงพักการซื้อขาย ทั้งหมดที่คุณต้องทำ คือกลับไปบนเครื่องออกกำลังกายแบบสายพานวิ่งซึ่งการกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงสถานะของร่างกายจะไปช่วยกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงบนหน้าปัทม์ของการตระหนักรู้ด้วย อันจะทำให้คุณสามารถเข้าถึงพฤติกรรมที่คุณปรารถนาด้วยการกระตุ้นบทบาทกับพฤติกรรมอย่างไม่ได้ตั้งใจ
การสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นนั้นมีรายละเอียดมากมายเกินกว่าการคิด และการสร้างภาพเชิงบวกในหัวคุณ หากคุณไม่เปลี่ยนสถานะการตระหนักรู้ของคุณรวมถึงความสามารถในการเปลี่ยนแปลงการตระหนักรู้ของคุณเองแล้วล่ะก็ คุณคงจะต้องฟังกำหนดการแบบเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในแต่ละวัน การเรียนรู้วิธีการเปลี่ยนแปลงสถานะเชิงลบถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ อย่างไรก็ดี การเติบโตแบบก้าวกระโดด คือสิ่งที่อยู่ในการเรียนรู้วิธีสร้างสถานะเชิงบวก ใหม่ๆ เพื่อให้กลายเป็นผู้กำหนด และควบคุมประสบการณ์ของตัวเรานั่นเอง
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 19 : เตรียมพร้อมรับมือกับสถานก
บทความนี้เป็นบทความแปลจากต้นฉบับของ Credit : Dr.Brett N. Steenbarger, Ph.D. / www.brettsteenbarger.com
ผมได้รับอีเมล์จำนวนมากในกา
ผมเชื่อว่ากุญแจที่สำคัญในก
เทรดเดอร์ที่ยังไม่ประสำควา
นาฬิกาที่หยุดเดิน ยังสามารถถูกเวลาได้สองครั้
เทรดเดอร์ที่พยายามเอาชนะตล
Stop Loss แบบที่ 1 : Stop ด้วย ราคา [Note ผู้แปล, ให้ดูภาพประกอบ]
ในบทความนี้ จะพูดถึงการ Stop 3 แบบด้วยกัน, ราคา, เวลา และ Indicator, ทั้งสามแบบนี้สามารถศึกษา แล
เทรดเดอร์ส่วนมากจะคุ้นกับการ stop ด้วยราคา (แม้ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะใช้
ปกติแล้วผมจะมองการเทรดทุกอันเป็นสมมุติฐาน, ถ้าสมมุติว่าผมเข้า Buy นั่นเป็นเพราะผมเห็นว่าราคา
กุญแจที่จะทำให้ Stop ด้วย ราคานี้สำเร็จ คือการเข้า Buy หรือ Sell ที่จุดที่ใกล้ High/
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
[จิตวิทยาการลงทุน] Part 20 : เตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์พ่ายแพ้ (ตอนที่ 2)
บทความนี้เป็นบทความแปลจาก ต้นฉบับของ Credit : Dr.Brett N. Steenbarger, Ph.D. / www.brettsteenbarger.com
Credit ภาพ : google.com/time
STOP LOSS แบบที่ 2 : "เวลา"
วิธีการ Stop Loss แบบที่สองใช้เวลามาช่วย, หนึ่งในระบบที่ผม (Dr.Brett) เทรดนั้น คือการถือออเดอร์เป็นเวลา 21 นาทีในการเข้าทำกำไร ซึ่งถ้าภายใน 21 นาทียังไม่ได้เป้าหมาย ผมก็จะปิดออเดอร์ แม้ว่าราคาจะยังมาไม่ถึง "จุด Stop ของราคา" ก็ตาม
ตรรกะของรูปแบบการออกด้วยเวลาเป็นเช่นนี้ : ผมพยายามเข้าเล่นตลาดที่ขณะที่โมเมนตัมนั้นกำลังเพิ่มขึ้นในทิศของผม ต่อมาถ้าตลาดเริ่มแบนราบ หรือต่ำกว่าที่ผมเข้า นั่นหมายความว่าผมอ่านโมเมนตั้มไม่ถูกต้อง ซึ่งก็เป็นการวางสมมุติฐานที่ผิดอีกชิ้นหนึ่งนั่นเอง, จากประสบการณ์ที่เจ็บปวดของผมพบว่า ถ้าตลาดแบนราบ ผมอาจจะยัง"ถูก"ในการอ่านทิศตลาด แต่การเคลื่อนไหวจะเป็นแบบแบนราบ นั่นหมายถึงว่าการเคลื่อนไหวชุดต่อไป มักจะเป็นชุดที่มาถึงเส้น "Stop ด้วยราคา" ของผม การ "Stop ด้วยเวลา" จึงช่วยทำให้ได้กำไรบ้าง แทนที่จะปิดแบบลบเพราะ "Stop ด้วยราคา"
หนึ่งในกฏสำคัญในการเทรด คือการบริหารอัตรส่วนระหว่าง Risk / Reward โดยที่ให้เหมาะสมกับระยะเวลาที่ถือออเดอร์ด้วยเสมอ, ถ้าคุณออกแบบระบบของคุณ ผมส่งเสริมให้คุณใส่ปัจจัยด้าน "ระยะเวลาที่จะถือออเดอร์" เข้าไปด้วย, ในกรณีผมที่ออกแบบ ระบบ "21-นาที" โดยการค้นคว้าวิจัยตลาด S&P หลายๆ แง่มุม ทั้งความฝันแปร, Indicator, TICK, กลุ่มหุ้น, ปริมาณ, New High, New Low, Future, ผมพบว่าตอนผมออกแบบระบบนี้เสร็จ ก็มีปัจจัยเรื่องเวลาติดมาตั้งแต่แรกเรียบร้อย จึงได้มาช่วย Stop อีกตัวของผม คือ Stop ด้วยราคานั่นเอง
STOP LOSS แบบที่ 3 : Indicator
อย่างที่ผมเกริ่นไว้เมื่อกี้ว่า ผมได้ใช้ Indicator ไม่น้อยในการเทรดแบบ Intraday (จบภายในวัน), ผมใช้เวลาจำนวนมากในการทดสอบ Indicator เหล่านี้ รวมถึงเทียบกับ Price Action ด้วยว่าอันไหนใช้ได้ดีกับช่วงเวลานี้บ้าง
ผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการพัฒนาระบบเทรดที่บอกอะไรเราบางอย่าง เมื่อ Indicator ไปถึงค่า extreme ของมัน เช่นบอกว่าจะไปต่อ หรือจะกลับตัวเป็นต้น
ตัวอย่างเช่นหนึ่งระบบที่ผมเลือกใช้ มีระยะการถือประมาณ 2 ชั่วโมง, TICK จะเป็นส่วนสำคัญ [Note ผู้แปล : Tick ดูได้จากหน้าต่าง Market watch, Tick Chart, มันจะเป็นการเคลื่อนไหวที่เร็วที่สุด และละเอียดที่สุดของตลาด], ถ้า TICK ทำการ Break out ช่วง 2-ชั่วโมง ขึ้นไป จะพบว่าราคาจะขึ้น 20% เทียบกับหลายๆ ชั่วโมงต่อมา, และถ้า TICK ทำการ Break out ช่วง 2-ชั่วโมง ลงไป, มีโอกาสจะลงต่อ 11%
เมื่อมีการวิจัยดีๆ แบบนี้ส่งเสริม ผมก็สร้าง "Stop ด้วย Indicator", วิธีใช้ คือถ้า Tick เกิดการ Break out ทิศตรงข้ามกับผม (ตัวอย่างเช่น ผมถือ short ไว้, แล้ว Tick เกิดการ break out ขึ้้นทำ new HIGH) ผมก็จะปิด Stop Loss แม้ว่าราคาจะยังไม่ถึง "Stop ด้วย ราคา" ก็ตาม, ในบางสถานการณ์ผมอาจจะถึงขั้นปิดแล้วเล่นกลับทิศตรงข้ามกับออเดอร์แรกของผม
ถ้าคุณใช้เวลาค้นคว้า indicator กับหลายๆ time frame คุณสามารถที่่จะสร้าง "Stop ด้วย Indicator" ที่เข้ากับสไตล์การเทรด และระบบได้
การใช้ Stop Loss เป็นเครื่องมือทางจิตวิทยา
เมื่อ Stop Loss ได้ถูกวางแล้ว มันจะเป็นมันจะกลายเป็นจุดยึดเหนี่ยวทางใจ ซึ่งจะต้องทำให้มั่นใจว่าพวกมันจะได้รับเกียรติ, การเสียที่ดี (ออกด้วย Stop Loss ตามแผน) คือแผนอย่างหนึ่ง, มีเพียงความล้มเหลวของตลาดจริงๆ ถึงจะเป็นสิ่งที่เราคาดเดาไม่ได้ในแผนของเรา
ผมได้เขียน review หนังสือของหลายๆ ท่าน, หลายๆ ท่านได้สัมภาษณ์ Schwager's Market Wizard book. ซึ่งได้เน้นย้ำถึงเรื่องว่าเวลาคุณเทรดคุณต้องวางแผน, มั่นใจ และให้เกียรติ Stops, เพราะนั่นคือวิธีสร้างวินัย และการใช้สถิติมาอยู่ข้างคุณในระยะยาว
มันแปลก และตลกที่เทรดเดอร์ผู้ประสบความสำเร็จ วางแผนรับมือกับ "ความล้มเหลว" ในขณะที่ผู้ไม่ประสบความสำเร็จ หรือล้มเหลวไม่ได้สนใจวางแผนเรื่อง "ล้ม เหลว" นี้เลย
#เทรด #forex #สอนforex #เรียนforex #สอนforexฟรี #เรียนforexฟรี
<<<<< Trading Psychology Part 1-10 Trading Psychology Part 21-Final >>>>>